ศูนย์วิจัยกสิกรไทย แนะภาคเอกชนเตรียมรับมือร่าง พ.ร.บ. Climate Change

by ESGuniverse, 10 พฤษภาคม 2567

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย แนะภาคเอกชน เตรียมความพร้อมรับมือร่าง พ.ร.บ. Climate Change ที่เตรียมเสนอ ครม. ช่วงกลางปีนี้​คาดอุตสาหกรรมที่อยู่ใน EU-CBAM อาจได้รับผลกระทบก่อนใคร และกิจกรรม 5 ประเภทจะถูกรัฐขอข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

 

 

จากปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เกิดขึ้น หลายประเทศทั่วโลกได้ผุดมาตรการต่าง ๆ เพื่อช่วยกันแก้ปัญหา รวมถึงประเทศไทยที่มีการจัดทำ ร่างพระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือ ร่าง พ.ร.บ.Climate Change ขึ้นมา

 

 

เนื่องด้วยกฎหมายฉบับปัจจุบันยังไม่ครอบคลุมการดำเนินงานในด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ จึงมีการพัฒนาและปรับปรุงกฎหมายให้ครอบคลุมการดำเนินงานทั้งในด้านการรายงานปริมาณการปล่อย กักเก็บ และดูดซับก๊าซเรือนกระจกและมาตรการกลไกราคาคาร์บอนในการลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้ตามเป้าหมาย ตลอดจนกำหนดโทษที่เหมาะสมเพื่อควบคุมการดำเนินการงานให้มีประสิทธิภาพ

 

 

โดยช่วงไตรมาสแรกของปีระหว่างวันที่ 14 กุมภาพันธ์ – 27 มีนาคม 2567 ที่ผ่านมา กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม ได้เปิดรับฟังความคิดเห็น ร่าง พ.ร.บ.ฯ ดังกล่าวเสร็จสิ้นแล้วก่อนที่จะมีการนำเสนอคณะรัฐมนตรีภายในกลางปีนี้ ก่อนบังคับใช้

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ได้เผยแพร่รายงานการประเมินเกี่ยวกับความท้าทายที่จะเกิดขึ้น หากมีการบังคับใช้ พ.ร.บ.Climate Change อย่างเป็นทางการ รวมถึงสิ่งที่ผู้ประกอบการจะต้องรับมือ

โดยเบื้องต้นศูนย์วิจัยกสิกร ประเมินว่า การบังคับใช้ร่าง พ.ร.บ.ฯ จะส่งผลดีต่อภาพรวมในการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศและสามารถบรรลุเป้าหมายในปี ค.ศ. 2065 อย่างไรก็ดีจะกระทบโดยตรงต่อต้นทุนในการดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการ ดังนี้

 

 

จัดทำบัญชี GHG ภาคบังคับในกิจกรรม 5 ประเภท

จากเดิมที่การตรวจวัดก๊าซเรือนกระจก (Greenhouse Gases หรือ GHG) ตามความสมัครใจและเผยแพร่ในรายงานประจำปีของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ แต่ร่าง พ.ร.บ.ฯ จะให้หน่วยงานรัฐมีอำนาจขอข้อมูลการปล่อย GHG ของกิจกรรม 5 ประเภท ในอุตสาหกรรมที่กำหนด ได้แก่ 1. การใช้เชื้อเพลิง 2. การผลิต 3.การเกษตร 4.ป่าไม้และการใช้ประโยชน์จากที่ดิน 5.การจัดการของเสีย

ทั้งนี้ในประเมินคาร์บอนฟุตพริ๊นต์ขององค์กร (CFO) เพื่อให้ได้ปริมาณ GHG จะต้องมีการจ้างที่ปรึกษาเพื่อวัดและรับรองปริมาณ GHG เป็นประจำทุกปี ๆ ละ 1 ครั้ง มีค่าใช้จ่ายประมาณ 30,000 บาท

ขณะที่ประเมินคาร์บอนฟุตพริ๊นต์ผลิตภัณฑ์ (CFP) ประเมิน 2 ปี 1 ครั้ง (ใช้ระยะเวลาประเมิน 2 วัน หากมีโครงสร้างธุรกิจหรือผลิตภัณฑ์มีความซับซ้อนจะใช้ระยะเวลาประเมินมากขึ้นและมีค่าใช้จ่ายสูงขึ้น) ภาครัฐควรมีมาตรการสนับสนุนค่าใช้จ่ายโดยการให้เงินสนับสนุนหรือนำค่าใช้จ่ายไปลดหย่อนภาษีได้

กองทุนการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (กองทุนฯ)

การสนับสนุนทางการเงินให้แก่โครงการลด GHG ที่ในปัจจุบันหน่วยงานรัฐทำโดยสนับสนุนได้เฉพาะเครื่องมือที่อยู่ในอำนาจของตนเอง เช่น การยกเว้นภาษีผ่านสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI), การให้เงินอุดหนุนรถยนต์ไฟฟ้าของกรมสรรพสามิต, สนับสนุนโครงการพลังงานหมุนเวียนผ่านกองทุนพัฒนาไฟฟ้าที่ให้เฉพาะหน่วยงานรัฐ

โดยกองทุนฯ จะทำให้การสนับสนุนการดำเนินการด้านการลด GHG ที่ครอบคลุมในทุกมิติ ทุกอุตสาหกรรมทั้งหน่วยงานรัฐและเอกชน เช่น โครงการคาร์บอนเครดิตประเภทการปลูกป่าที่ไม่เคยมีการสนับสนุนทางการเงิน การตรวจวัดและรับรองคาร์บอนฟุตพริ๊นต์ เป็นต้น

รวมถึงบทบาทของกองทุนฯ ในการสนับสนุนการลดการใช้เชื้อเพลิงจากฟอสซิลจะมีส่วนสำคัญในการลด GHG ของประเทศ ซึ่งประเทศไทยตั้งเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนกำลังการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเป็น 68% ในปี ค.ศ. 2040 และ 74% ปี ค.ศ. 2050

กลไกกำหนดราคาคาร์บอน

กลไกกำหนดราคาคาร์บอน ได้แก่ ระบบซื้อขายสิทธิในการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Emission Trading System: ETS) และภาษีคาร์บอน

ETS เป็นตลาดคาร์บอนภาคบังคับที่ใช้ในสหภาพยุโรป ที่จะให้ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมที่ปล่อย GHG ที่กำหนดจะต้องส่งมอบสิทธิในการปล่อย GHG ต่อรัฐบาลทุกปี โดยสิทธิมาจากการจัดสรร ประมูล หรือซื้อขายระหว่างผู้ประกอบการ

ภาษีคาร์บอน เป็นการเก็บภาษีตามปริมาณ GHG ที่ประเมินจากวัฏจักรของสินค้า สามารถจัดเก็บได้ทั้งสินค้าที่ผลิตภายในประเทศและนำเข้าจากต่างประเทศ เหมือนมาตรการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดนของสหภาพยุโรป (EU-CBAM)

“ในปัจจุบันประเทศไทยมีภาษีที่คำนวณจากปริมาณการปล่อย CO2 ในภาษีสรรพสามิตรถยนต์

อย่างไรก็ดีมาตรการ ETS หรือภาษีคาร์บอน หากนำมาใช้ควบคู่กันจะก่อให้เกิดต้นทุนการดำเนินธุรกิจที่ทับซ้อน

ควรกำหนดให้ค่าใช้จ่ายจาก ETS หรือภาษีคาร์บอนสามารถนำไปลดหย่อนค่าใช้จ่ายในอีกมาตรการได้ เนื่องจากมาตรการ ETS จะรวมการปล่อย GHG จากทั้งการผลิตสินค้าและการดำเนินธุรกิจอื่น ๆ ของผู้ประกอบการ ซึ่งหากมีการเก็บภาษีคาร์บอนด้วย ผู้ประกอบการจะต้องเสียภาษีจากการปล่อย GHG ของสินค้าอีกรอบ”

 

 

เปิดอุตสาหกรรมรับผลกระทบจากร่าง พ.ร.บฯ
เช็กลิสต์สินค้า 3 ระยะอยู่ในบัญชี EU-CBAM

อย่างไรก็ตาม ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่าอุตสาหกรรมที่จะได้รับผลกระทบจากบังคับใช้ร่าง พ.ร.บ.ฯ คิดเป็นมูลค่า 6.5 ล้านล้านบาท หรือ 37% ของ GDP โดยการบังคับใช้คาดว่าจะแบ่งออกเป็น 3 ระยะ

ระยะที่ 1 อุตสาหกรรมที่ปล่อย GHG สูง และอุตสาหกรรมที่อยู่ใน EU-CBAM ภายในปี ค.ศ. 2026 (พ.ศ. 2569) ได้แก่ ภาคขนส่ง สาธารณูปโภค โลหะ และอโลหะ มีมูลค่าอุตสาหกรรมรวม 1.71 ล้านล้านบาท หรือ 10% ของ GDP

ระยะที่ 2 อุตสาหกรรมที่คาดว่าจะอยู่ใน EU-CBAM ระยะที่ 2 ได้แก่ สาขา ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม ยางและพลาสติก การขุดเจาะปิโตรเลียม เคมีภัณฑ์ เหมืองถ่านหิน และ กระดาษและเยื่อกระดาษ คิดเป็นมูลค่า 1.77 ล้านล้านบาท หรือ 10% ของ GDP

ระยะที่ 3 อุตสาหกรรมในประเทศอื่น ๆ ที่มีการปล่อย GHG เข้มข้นสูง ได้แก่ เกษตรและปศุสัตว์ อาหารและเครื่องดื่ม คอมพิวเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ และอุปกรณ์ไฟฟ้า คิดเป็นมูลค่า 3.02 ล้านล้านบาท หรือ 17% ของGDP

 

 

แล้วผู้ประกอบการควรเตรียมพร้อมอย่างไร?

ศูนย์วิจัยกสิกรรายงานว่า การประเมินคาร์บอนฟุตพริ๊นต์ขององค์กรและผลิตภัณฑ์ จะกลายเป็นมาตรฐานใหม่ของการดำเนินธุรกิจ ถึงแม้ว่าปัจจุบันการตรวจวัด GHG จะเป็นการดำเนินการภาคสมัครใจ แต่แนวโน้มในอนาคตการตรวจวัด GHG ขององค์กรจะเป็นบรรทัดฐานใหม่ของที่จะต้องมีการรายงานเช่นเดียวกับการรายงานงบการเงิน มีชื่อว่า IFRS S1 และ S2 จัดทำโดย International Sustainability Standards Board (ISSB)

ในปัจจุบันประเทศสหราชอาณาจักร ญี่ปุ่น แคนนาดา และออสเตรเลียกำลังศึกษาแนวทางในการนำมาตรฐานดังกล่าวมาบังคับใช้

ส่วนการลด GHG ในกระบวนการผลิตและการดำเนินกิจการจะเป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยแนวโน้มนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมในอนาคตจะทำให้ต้นทุนการผลิตของผู้ที่ปล่อย GHG สูงเพิ่มขึ้น และจะสูญเสียความสามารถในการแข่งกันต่อผู้ประกอบการที่ปล่อย GHG ต่ำ ผู้ประกอบการควรปรับตัวเพื่อลด GHG ทั้งในกระบวนการผลิตและการดำเนินกิจการอื่น ๆ

ระยะสั้น ผู้ประกอบการสามารถลด GHG ได้ด้วยการใช้คาร์บอนเครดิตที่มีมาตรฐานรองรับ เช่น T-VER (องค์การบริหารก๊าซเรือนกระจก) VCS (VERRA) Gold Standard เป็นต้น หรือซื้อใบรองรองพลังงานหมุนเวียน (REC) เพื่อลดปริมาณการใช้ไฟฟ้าจากเชื้อเพิลงฟอสซิล

ส่วนระยะยาว ผู้ประกอบการจะต้องมีการลงทุนเผื่อปรับเปลี่ยนกระบวนการใช้พลังงานหรือเทคโนโลยีเพื่อลด GHG ได้แก่

 

 

     -เปลี่ยนเครื่องจักรที่ใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลมาใช้ไฟฟ้า
     -เปลี่ยนการขนส่งเป็นรถยนต์ Hybrid หรือรถยนต์ไฟฟ้า
     -ใช้ไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนทดแทนโดยการติดตั้ง Solar Roof หรือทำสัญญาซื้อไฟฟ้าพลังงานสะอาดจากภาคเอกชน (Power Purchasing Agreement: PPA)
     -ใช้วัสดุทดแทนที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำ อย่างวัสดุ Recycle วัสดุเหลือใช้ เป็นต้น
     -เทคโนโลยีขั้นสูง Carbon Capture Utilization and Storage เชื้อเพลิงไฮโดรเจน

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยยังระบุอีกว่า นโยบายด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดมากขึ้นตลอดเวลา ผู้ประกอบการควรติดตามพัฒนาการของกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมอย่างสม่ำเสมอ นโยบาย EU-CBAM ที่จะมีผลบังคับใช้เต็มรูปแบบในปี 2026 และจะขยายประเภทสินค้ามากขึ้น มาตรการ US-CBAM ที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของวุฒิสภา ที่อาจส่งผลต่อความสามารถในรแข่งขันของผู้ผลิตในระยะยาว

อย่างไรก็ดี คาดว่าร่าง พ.ร.บ.ฯ จะต้องใช้ระยะเวลา 1 - 2 ปี เพื่อพิจารณาในรายละเอียด แต่ผู้ประกอบการควรรีบดำเนินการ โดยเริ่มจากการตรวจวัดคาร์บอนฟุตพริ๊นต์ทั้งในระดับองค์กรและผลิตภัณฑ์เป็นอันดับแรก ซึ่งต้องใช้ระยะเวลาในการรวบรวมข้อมูล โดยธุรกิจสามารถนำข้อมูลดังกล่าวไปแสดงในรายงานของกิจการหรือแสดงในฉลากผลิตภัณฑ์เพื่อส่งเสริมภาพลักษณ์ด้านสิ่งแวดล้อมของกิจการได้ 

ร่าง พ.ร.บ.ฯ จะเป็นกลไกสำคัญที่จะขับเคลื่อนให้ประเทศไทยสามารถบรรลุเป้าหมายปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG) สุทธิเป็นศูนย์ได้ภายในปี ค.ศ. 2065 (พ.ศ. 2608) อีกทั้งเตรียมรับมือกับความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ก่อให้เกิดภัยธรรมชาติ เช่น น้ำท่วม ภัยแล้ง อุณหภูมิที่สูงขึ้น เป็นต้น รวมถึงการผลักดันให้เศรษฐกิจของประเทศไปสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำซึ่งจะเป็นแนวโน้มที่สำคัญในอนาคต

 

 


ที่มา -ศูนย์วิจัยกสิกรไทย